Posts

ChatGPT 5.2 จุดเปลี่ยนของ AI เชิงเหตุผล และบทบาทใหม่เมื่อเทียบกับ Gemini 3

Image
เช้ามืดวันนี้ (12 ธันวาคม 2568) ผู้เขียนเปิด ChatGPT ขึ้นมาทำงานส่วนตัวตามปกติ สิ่งที่สะดุดตาในทันทีคือหน้าจอ popup ที่แจ้งว่ามี ChatGPT 5.2 ให้ใช้งานแล้ว ไม่รอช้า ผู้เขียนพักงานไว้ก่อน เริ่มค้นคว้าหาข้อมูล ทำความเข้าใจเปรียบเทียบกับประสบการณ์ที่มีอยู่เดิม ควบคู่กับการพิจารณาพัฒนาการของอีกหนึ่งผู้เล่นสำคัญในสมรภูมิ AI อย่าง Gemini 3 ของ Google บทความนี้เป็นการรวบรวม เรียบเรียง และถ่ายทอดข้อสังเกตที่ได้จากการค้นคว้าเพื่อความเข้าใจส่วนตัวและเพื่อชวนผู้อ่านร่วมทำความเข้าใจว่า ChatGPT 5.2 กำลังเปลี่ยนบทบาทของ AI ไปในทิศทางใด และควรถูกมองอย่างไรเมื่อเทียบเคียงกับ Gemini 3 จาก “AI ที่ตอบเก่ง” สู่ “AI ที่คิดเป็นระบบ” ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เราเห็นการพัฒนา AI อย่างก้าวกระโดด จากระบบที่เน้นการ “ตอบคำถามได้เหมือนมนุษย์” ไปสู่ระบบที่เริ่ม “ช่วยคิดเชิงโครงสร้าง” ได้จริงในบางบริบท การมาถึงของ ChatGPT 5.2 เป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่า OpenAI กำลังขยับจุดยืนของโมเดลหลักให้ไปไกลกว่า “การสนทนาที่ลื่นไหล” และเข้าใกล้สิ่งที่ผู้เขียนเรียกว่า AI ที่ทำงานแบบ end-to-end  คิด วางแผน และลงมือทำในกรอบงานเดี...

รายงานสรุปวิกฤตการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ณ วันที่ 11 ธันวาคม 2568 (07:00 AM)

Image
สถานการณ์ความขัดแย้งบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาได้ทวีความรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่วันที่ 8 ธันวาคม 2568 โดยล่าสุด (11 ธ.ค. - 07:00 AM) การปะทะได้ขยายวงกว้างใน 5 จังหวัดชายแดน กองทัพไทยได้ยกระดับปฏิบัติการตอบโต้ด้วยกำลังทางอากาศเพื่อทำลายจุดยุทธศาสตร์ที่ฝ่ายตรงข้ามใช้ "กลยุทธ์ตบตา" (Deceptive Tactics) แฝงตัวในพื้นที่พลเรือน ท่ามกลางการวิเคราะห์ว่าผู้นำกัมพูชากำลังใช้สงครามนี้ในลักษณะเดียวกับ "Scammer" เพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง 1. ยุทธศาสตร์ "Scammer" ของผู้นำกัมพูชา: การตบตาและบิดเบือน จากการวิเคราะห์ข้อมูลและท่าทีของฝ่ายกัมพูชา พบว่ารัฐบาลกัมพูชาภายใต้การนำของตระกูลฮุน ใช้วิธีการที่เปรียบเสมือน "Scammer" หรือนักต้มตุ๋นทางการเมืองและการทหาร ใน 3 มิติหลัก: มิติที่ 1: การ "ฟอกขาว" พื้นที่สีเทาให้เป็นฐานทหาร (Camouflage Tactics) กัมพูชาใช้วิธีการอำพรางทางยุทธวิธีด้วยการเปลี่ยนพื้นที่พลเรือนและพื้นที่ธุรกิจสีเทาให้เป็นฐานปฏิบัติการทางทหาร เพื่อหวังผลทางการเมืองหากไทยโจมตีตอบโต้: บ่อนกาสิโน = ฐานบัญชาการ: กองทัพไทยตรวจพบว่ากั...

เล่าปี่ – ภาวะผู้นำที่แข็งแกร่งแต่อ่อนโยน เด็ดขาดแต่เมตตา

Image
ในโลกการทำงานปัจจุบัน เรามักเห็นผู้นำที่พยายามแสดง “ความเด็ดขาดเชิงอำนาจ” ผ่านคำสั่งเร่งรัด หรือการผลักดันงานแบบไม่คำนึงถึงจังหวะและภาระของผู้คนในทีม แต่ผู้เขียนกลับเชื่อว่า ความแข็งแกร่งที่แท้จริงนั้นมีมิติละมุนกว่า และลึกกว่า มันคือความสามารถในการตัดสินใจด้วยเหตุผล พร้อมยึดมั่นในคุณค่าความเป็นมนุษย์อย่างไม่ลดทอน ในวรรณกรรม สามก๊ก เล่าปี่คือผู้นำที่สะท้อนภาพนั้นอย่างชัดเจนที่สุด เขาไม่ได้มีทัพที่ใหญ่ที่สุด ไม่ได้มีทรัพยากรมากที่สุด แต่เขามี “ทุนทางศรัทธา” มากที่สุด เพราะเขาเข้าใจหัวใจคน และรู้ว่าการนำองค์กร ไม่ใช่เรื่องของอำนาจ แต่เป็นเรื่องของ ความสัมพันธ์ระหว่างผู้นำกับผู้ตาม เมื่อมองผ่านเลนส์การบริหารยุคใหม่ เล่าปี่คือกรณีศึกษาที่น่าสนใจอย่างยิ่ง เขาเป็นผู้นำที่ “แข็งแกร่งแต่อ่อนโยน / เด็ดขาดแต่เมตตา” และนี่คือสามเหตุการณ์ที่ช่วยให้ภาพของภาวะผู้นำแบบนี้ชัดเจนยิ่งขึ้น 1) ผิงหยวน – ความอ่อนโยนที่สร้าง Engagement ระยะยาว เมื่อเล่าปี่เข้าไปปกครองเมืองผิงหยวนที่ยากจน เขาไม่ได้เริ่มด้วยการออกคำสั่ง ไม่ได้ตั้ง KPI ของเจ้าหน้าที่ แต่เขาเริ่มจากการ “สร้างความไว้วางใจ” เขานั่งกินกับชาวบ...

รู้สึกสูง…เพียงเพราะเหยียดคนอื่นให้ต่ำลง

Image
จากบทความก่อนหน้าที่อ้างอิงจากวรรณกรรมสามก๊ก  ศึกเกงเล้ง: เมื่อความรู้ปราศจากปัญญาและประสบการณ์    ได้รับความสนใจจากผู้อ่านเกินคาด มีท่านหนึ่งกรุณาชี้แนะให้เขียนบทความแนวนี้เป็นระยะ ๆ ผู้เขียนเห็นตาม และขอนำเสนอตามนี้ครับ สามก๊ก ... วรรณกรรมที่มนุษย์ใช้เป็นกระจกสะท้อนความหมายของอำนาจมานานนับศตวรรษ มีเหตุการณ์หนึ่งที่ผู้เขียนมักหยิบขึ้นมาคิดเสมอ ไม่ใช่เหตุการณ์รบพุ่ง ไม่ใช่กลศึกพิสดาร แต่เป็น “ถ้อยคำสั้น ๆ” ที่ทำให้เห็นชัดว่า มีอำนาจบางชนิดที่บางคนใช้กดหัวคนอื่นโดยไม่ต้องถือดาบ เหตุการณ์นั้นคือวันที่ เล่าปี่ หนีภัยการเมืองและจำต้องมาพึ่ง โจโฉ ในวุยก๊ก แบบคนไร้แผ่นดิน แต่ไม่ไร้ศักดิ์ศรี ส่วนโจโฉต้อนรับเขาในฐานะผู้มีอำนาจควบคุมราชสำนักทั้งแผ่นดิน แต่มีอัตตาเต็มหัวใจ ระหว่างการสนทนาต่อหน้าขุนนางวุย เมื่อมีผู้ถามถึงภูมิหลังของเล่าปี่ โจโฉเพียงยิ้มบาง ๆ แล้วตอบด้วยน้ำเสียงเรียบ แต่ก็เด่นชัดเพียงพอว่ากำลังเหยียดหยัน “เล่าปี่นั้น เดิมก็แค่คนขายรองเท้าและสานฟาง… ไร้เชื้อสายสูงศักดิ์ใด ๆ” ประโยคนี้เหมือนการเอามือกดหัวคนตรงหน้าอย่างแยบยล ไม่ต้องเสียงดัง ไม่ต้องใช้อำนาจแข็งกร...

OpenAI vs Gemini 3: ศึก AI เชิงกลยุทธ์ปี 2025 และทิศทางที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อไป

Image
ในช่วงไตรมาสที่ผ่านมา ผู้เขียนเฝ้าสังเกตการแข่งขันระหว่างสองยักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรม AI อย่าง OpenAI และ Google ซึ่งหากมองจากมุมของผู้ใช้งานระดับ power user จะเห็นสัญญาณที่น่าสนใจอย่างยิ่งว่าเรากำลังเข้าสู่ “ยุคปรับสมดุลครั้งใหม่” ระหว่างโมเดลตระกูล GPT และ Gemini 3 หลังจากที่ Google เปิดเกมรุกอย่างหนักในรอบปี 2025 นี้ บทความนี้เป็นการรวบรวมมุมมอง วิเคราะห์ และอ่านเกมเชิงลึกของผู้เขียน เพื่อสะท้อนให้เห็นว่าการแข่งขันรอบนี้ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องความเร็วของโมเดล แต่คือการกำหนดอนาคตของ AI ecosystem ทั้งระบบ 1) Gemini 3: จุดเปลี่ยนที่ทำให้ตลาดต้องเร่งปรับตัว การมาถึงของ Gemini 3 Pro / Ultra ได้ยกระดับภาพรวมของวงการอย่างแท้จริง โดยมีความโดดเด่นในเรื่อง: Deep Reasoning ที่มั่นคงและลุ่มลึกขึ้นมาก ความสามารถ “อ่าน–คิด–เชื่อมโยง” หลายเอกสารพร้อมกัน ความแม่นยำเชิงโครงสร้าง โดยเฉพาะกลุ่มงานวิเคราะห์ข้อมูล NotebookLM 2 ซึ่งทำหน้าที่เหมือน “สมองกลาง” ประมวลความรู้ส่วนบุคคลได้อย่างเป็นระบบ ระบบ Agents ที่เริ่มใช้งานได้จริงและมีความเป็น automation สูงกว่า สิ่งเหล่านี้ทำให้ Google ก้า...

Google อัปเดตครั้งใหญ่ และสัญญาณใหม่ของโลก AI ที่กำลังขับเคลื่อนด้วย Spatial Reasoning

Image
ช่วงเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ท่านที่สนใจเทคโนโลยีคงทราบดีแล้วว่าฝั่ง Google มีการอัปเดตครั้งใหญ่ที่สะเทือนทั้งวงการ AI ไม่ใช่การปล่อยฟีเจอร์เล็ก ๆ แบบ incremental (แบบค่อยเป็นค่อยไป) แต่เป็นการยกเครื่องแนวคิดทั้งระบบ โดยเฉพาะเมื่อ Google เริ่มพูดถึงคำว่า "Spatial Reasoning" ขึ้นมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ราวกับเป็นเซลล์สมองชุดใหม่ที่เพิ่งถูกติดตั้งในสมองของโมเดล อัปเดตรอบนี้จึงไม่ได้เป็นเพียงการอัปเกรด AI แต่เป็น “การเปลี่ยนสถาปัตยกรรมความคิด” ของ AI ให้ใกล้เคียงวิธีที่มนุษย์มองโลกมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด บทความนี้ ผู้เขียนอยากชวนผู้อ่านเปิดมุมมองใหม่ ว่าทำไม Spatial Reasoning จึงเป็นหัวใจที่ผลักดัน Gemini 3, Nano Banana Pro, Veo 3.1 และ Antigravity ให้มีพลังมากกว่าที่เคยเป็น 1. เมื่ออัปเดตเดือนพฤศจิกายนไม่ได้เกี่ยวกับฟีเจอร์…แต่เกี่ยวกับ “วิธีคิด” Google ระบุชัดว่าการอัปเดตรอบนี้คือ “reasoning-first upgrade” หรือยกให้การคิดเป็นศูนย์กลาง ไม่ใช่ความเร็ว ไม่ใช่แท่นประมวลผล แต่เป็นความสามารถในการเข้าใจโลกอย่างเป็นระบบ ตอนนี้เราไม่ได้อยู่ในยุคที่ AI แค่ตอบคำถาม แต่กำลังเข้าสู่ยุคที่ AI ...

บทเรียนจากผู้แพ้: เพราะความล้มเหลวสอนเราได้มากกว่า

Image
ไปอ่านเจอมาชอบมาก “Sit with people who've failed more times than won, because they don't have ego, they have experiences.” แปลได้ประมาณว่า “จงนั่งอยู่กับคนที่ล้มเหลวบ่อยกว่าชนะ เพราะพวกเขาไม่มีอัตตา มีแต่ประสบการณ์” คำพูดนี้ฟังดูเรียบง่าย แต่กลับสะเทือนใจอย่างประหลาด มันทำให้ผู้เขียนนึกถึงคนบางกลุ่มที่เคยเจอในชีวิต คนที่ไม่ได้พูดถึงความสำเร็จของตัวเองพร่ำเพรื่อ ไม่โอ้อวด ไม่ต้องการพิสูจน์อะไรให้ใครเห็น แต่เมื่อได้คุยด้วยจะรู้สึกอบอุ่นและลึกซึ้ง เพราะสิ่งที่พวกเขาพูดมักมาจาก “ชีวิตจริง” ไม่ใช่ตำราสวยหรู ในโลกที่ทุกคนพยายามโชว์ความสำเร็จ แข่งกันเล่า “ชัยชนะ” เรามักลืมไปว่าความล้มเหลวคือครูที่ดีที่สุด คนที่เคยพัง เคยแพ้ เคยเสียหน้า เคยลุกจากศูนย์มาแล้วหลายครั้ง พวกเขาคือคลังความรู้ชั้นดีของชีวิต เพราะผ่านจุดที่อัตตาถูกทุบจนแหลก แล้วแทนที่ด้วยสิ่งที่เรียกว่า “สติ” และ “ประสบการณ์” ผู้เขียนเคยนั่งฟังคนคนหนึ่งที่ล้มเหลวมาหลายรอบในเรื่อง ๆ หนึ่ง (เรื่องอะไร ขอสงวนไว้นะครับ) เขาไม่ได้พูดด้วยน้ำเสียงยกตน แต่พูดด้วยรอยยิ้มและแววตาที่นิ่งสงบ ประโยคสั้น ๆ ของเขาเต็มไปด้วยบทเรียนที่ไม...