Posts

บทเรียนจากผู้แพ้: เพราะความล้มเหลวสอนเราได้มากกว่า

Image
ไปอ่านเจอมาชอบมาก “Sit with people who've failed more times than won, because they don't have ego, they have experiences.” แปลได้ประมาณว่า “จงนั่งอยู่กับคนที่ล้มเหลวบ่อยกว่าชนะ เพราะพวกเขาไม่มีอัตตา มีแต่ประสบการณ์” คำพูดนี้ฟังดูเรียบง่าย แต่กลับสะเทือนใจอย่างประหลาด มันทำให้ผู้เขียนนึกถึงคนบางกลุ่มที่เคยเจอในชีวิต คนที่ไม่ได้พูดถึงความสำเร็จของตัวเองพร่ำเพรื่อ ไม่โอ้อวด ไม่ต้องการพิสูจน์อะไรให้ใครเห็น แต่เมื่อได้คุยด้วยจะรู้สึกอบอุ่นและลึกซึ้ง เพราะสิ่งที่พวกเขาพูดมักมาจาก “ชีวิตจริง” ไม่ใช่ตำราสวยหรู ในโลกที่ทุกคนพยายามโชว์ความสำเร็จ แข่งกันเล่า “ชัยชนะ” เรามักลืมไปว่าความล้มเหลวคือครูที่ดีที่สุด คนที่เคยพัง เคยแพ้ เคยเสียหน้า เคยลุกจากศูนย์มาแล้วหลายครั้ง พวกเขาคือคลังความรู้ชั้นดีของชีวิต เพราะผ่านจุดที่อัตตาถูกทุบจนแหลก แล้วแทนที่ด้วยสิ่งที่เรียกว่า “สติ” และ “ประสบการณ์” ผู้เขียนเคยนั่งฟังคนคนหนึ่งที่ล้มเหลวมาหลายรอบในเรื่อง ๆ หนึ่ง (เรื่องอะไร ขอสงวนไว้นะครับ) เขาไม่ได้พูดด้วยน้ำเสียงยกตน แต่พูดด้วยรอยยิ้มและแววตาที่นิ่งสงบ ประโยคสั้น ๆ ของเขาเต็มไปด้วยบทเรียนที่ไม...

ศึกเกงเล้ง: เมื่อความรู้ปราศจากปัญญาและประสบการณ์

Image
ผู้เขียนมีโอกาสอ่าน สามก๊ก มานาน เปิดอ่านครั้งแรกน่าจะสักยี่สิบกว่าปีที่แล้ว และน่าจะอ่านจบไปสองถึงสามรอบ ในเส้นทางชีวิตการทำงาน มีหลายเหตุการณ์ที่ทำให้นึกถึง “ศึกเกงเล้ง” — ศึกที่ขงเบ้งส่งม้าเจ๊กไปป้องกันแนวรบสำคัญ แต่กลับพ่ายแพ้อย่างไม่คาดคิดเพราะการประเมินผิดและยึดติดในความรู้ของตนมากเกินไป ม้าเจ๊กเลือกตั้งค่ายบนภูเขาแทนที่จะอยู่ใกล้แม่น้ำ แม้ขงเบ้งจะเตือนแล้วก็ตาม ผลคือกองทัพถูกตัดเส้นทางเสบียงและแตกพ่ายในเวลาไม่นาน เหตุการณ์นั้นทำให้ผู้เขียนสะดุดใจกับบทเรียนสำคัญ ... ความรู้เพียงอย่างเดียวไม่อาจทดแทนความมีสติปัญญาและประสบการณ์ได้ และการละเลยคำเตือนจากผู้มากประสบการณ์มักนำไปสู่ความล้มเหลวเสมอ วรรณคดีที่สอนคนเก่งให้รู้จักถ่อมตน สามก๊กไม่ใช่แค่เรื่องของสงครามหรืออำนาจ แต่ยังเป็นตำราว่าด้วยจิตใจคน เต็มไปด้วยบทเรียนเรื่อง “ความรู้ ความภักดี และความผิดพลาดของมนุษย์” ในบรรดาศึกทั้งหลายที่ขงเบ้งบัญชาการ ไม่มีครั้งใดเจ็บปวดเท่า “ศึกเกงเล้ง” ครั้งที่เล่าปี่สิ้นไปแล้ว ขงเบ้งยกทัพขึ้นเหนือเพื่อทวงคืนดินแดนจากวุยก๊ก แต่กลับต้องพ่ายเพราะความผิดพลาดของแม่ทัพที่ไว้ใจที่สุด ... “ม้าเจ๊ก” ...

เพราะบางครั้ง “ไม่ใช่” ก็แค่ทางอ้อมของ “ใช่”

Image
ไปอ่านเจอมา ชอบมาก "If you’re rejected, accept. If you feel unloved, let go. If they choose someone or something over you, move on. Remember that, in every NO from someone is a YES to someone better." ข้อความสั้น ๆ นี้ เตือนใจได้อย่างลึกซึ้งครับ เพราะในชีวิตจริง เราทุกคนต่างเคยผ่านช่วงเวลาของการ “เป็นคนที่ไม่ใช่” หรือ “ถูกปฏิเสธ” ไม่ว่าจะเป็นในความรัก มิตรภาพ หรือแม้แต่โอกาสบางอย่างที่เราหวังไว้เต็มหัวใจ แต่บางที...สิ่งที่เราคิดว่า “เสียไป” อาจเป็นสิ่งที่ชีวิตกำลัง “ปกป้องเราไว้” ถ้าใครไม่เลือกเรา — ก็แค่ยอมรับ ถ้าใครไม่เห็นค่าเรา — ก็แค่ปล่อยไป เพราะการฝืนอยู่ในที่ที่เป็นคนไม่ใช่ ไม่ได้ทำให้เรามีความสุขขึ้นมาเลย ทุกคำว่า “ไม่” ที่เราได้รับ อาจเป็นประตูที่ค่อย ๆ เปิดไปสู่การเป็นคน “ที่ใช่” ในจังหวะเวลาที่เหมาะสม และบางครั้ง...สิ่งที่ดีจริง ๆ ต้องใช้เวลา ผู้เขียนขอเป็นกำลังใจให้ “คนไม่ใช่” ทุกท่านครับ ขอให้เชื่อมั่นในคุณค่าของตัวเอง และเดินต่อไปอย่างสง่างาม เพราะทางอ้อมของ “ไม่ใช่” วันนี้...อาจพาเราไปถึง “ใช่” ที่ดีที่สุดในวันหนึ่งข้างหน้า 

เมื่อผู้เขียนให้ Garmin Coach เป็นโค้ชฝึกซ้อมวิ่ง 10K ภายใน 8 สัปดาห์

Image
จุดเริ่มต้นของความท้าทาย ผู้เขียนตั้งเป้าหมายชัดเจน วิ่งระยะทาง 10 กิโลเมตรให้จบภายใน 1 ชั่วโมง (< pace 6) ภายในเวลาเพียง 8 สัปดาห์ โดยทดลองพึ่งพา “Garmin Coach” โค้ช AI ที่ใช้ข้อมูลจริงจากร่างกายเพื่อปรับแผนฝึกแบบเรียลไทม์ คำถามในใจคือ... AI แบบนี้จะเข้าใจจังหวะการฝึกของมนุษย์ได้จริงหรือไม่? ตั้งค่าเป้าหมายและเลือกระดับโค้ช เมื่อเริ่มใช้งาน Garmin Coach ระบบจะให้เราเลือกเป้าหมาย (10K < 60 นาที) พร้อมเลือกว่าอยากให้ใครเป็นโค้ชเสมือน เช่น Jeff Galloway, Amy Parkerson-Mitchell, Greg McMillan เป็นต้น แต่ละคนมีปรัชญาการซ้อมต่างกัน — บางคนเน้นการผสมจ็อกกับเดิน บางคนเน้นการฝึกเชิงจังหวะและความเร็ว AI จะถามถึงระดับความฟิตปัจจุบัน ความถี่ในการซ้อม และวันที่สะดวกวิ่งแบบ long run จากนั้นจะสร้าง “แผนส่วนตัว” ที่ไม่ตายตัว เพราะมันจะปรับตามผลการฝึกจริงของเราในแต่ละสัปดาห์ สัปดาห์ที่ 1–2: จุดเริ่มต้น ช่วงสองสัปดาห์แรกเป็นการปรับพื้นฐาน Garmin Coach จะเน้นการวิ่งแบบ Easy Run เพื่อสร้างความทนทานและให้ร่างกายปรับตัวกับความสม่ำเสมอของการซ้อม แม้จะรู้สึกว่าแผนยังเบาเกินไป แต่เมื่อดูข้อมูลก...

ไม่ได้ใจเย็น แค่ไม่เห็นค่าพอจะร้อนใส่

Image
ไปอ่านเจอมาชอบมาก "I don't carry any hate in my heart; I just move on and forget your existence." บางคนชอบเข้าใจผิดว่าความเงียบคือความพ่ายแพ้ การไม่โต้ตอบคือการยอมจำนน ทั้งที่ความจริงแล้ว… มันคือ “ศิลปะแห่งการวางเฉย” ของคนที่ไม่อยากให้พลังชีวิตของตัวเองต้องสูญเสียไปกับคนที่ไม่คู่ควร ผู้เขียนเคยเห็นหลายคนพยายาม “ชนะ” ด้วยคำพูดแรง ๆ เสียดแทงคนอื่น เพื่อปลอบใจตัวเองว่ามีอำนาจกว่า แต่แท้จริงแล้ว คนที่ต้องพยายามกดคนอื่นให้ต่ำลง มักเป็นคนที่ข้างในรู้สึกเล็กเกินไปที่จะยืนอย่างสง่างามด้วยตัวเอง วลีนี้จึงเหมือนมีดบาง ๆ ที่เฉือนความจริงออกมาให้เห็นชัดว่าคนที่เติบโตทางใจ ไม่จำเป็นต้องเก็บ “ความเกลียด” ไว้เป็นภาระ พวกเขาเพียงแค่เดินต่อไปอย่างสงบนิ่ง ไม่ใส่ใจ คนร้าย ๆ จึงเหมือนพวกไร้ตัวตน เป็นเพียงลมพัดผ่าน เพราะการ “ลืม” การ "ปล่อยผ่าน" เป็นเสมือนการประกาศอย่างเงียบ ๆ ว่า... คุณไม่สำคัญพอที่จะให้ความสำคัญอีกต่อไป และสำหรับพวก toxic ที่ยังคิดว่าการใช้คำพูดแรง ๆ ข่มเห่งคนอื่นได้คืออำนาจ ผู้เขียนขอแสดงความยินดีด้วยนะครับ คุณคือ “บทเรียน” ที่คนดี ๆ เอาไว้ฝึกใจให้นิ่ง ไม่...

ยิ่งแข็งแกร่ง ยิ่งอ่อนโยน

Image
ไปอ่านเจอมาชอบมาก “Strong people don’t put others down... they lift them up.” ประโยคนี้สั้น แต่ทรงพลังครับ เพราะมันเตือนเราว่า “คนแข็งแกร่งจริง” ไม่จำเป็นต้องยกตัวด้วยการกดคนอื่นให้ต่ำลง เพียงเพื่อให้ตัวเองดูสูงกว่า ในชีวิตจริง เรามักพบคนบางประเภทที่รู้สึกภูมิใจเมื่อได้พูดจาเหน็บแนมหรือเหยียดคนอื่น บางคนพูดเล่นแต่แฝงด้วยคำพูดเสียดสี บางคนใช้คำพูดรุนแรง ทำร้ายจิตใจ แล้วแสร้งทำเป็นว่าตรงไปตรงมา แต่แท้จริงแล้ว...นั่นคือความเปราะบางในใจที่พยายามซ่อนอยู่ใต้ความมั่นใจปลอม ๆ ตรงกันข้าม คนที่แข็งแกร่งจริง มักมีหัวใจที่อ่อนโยนและมั่นคงพอจะยกคนอื่นขึ้น เขามองเห็นคุณค่าของผู้อื่น ชื่นชมในความพยายามเล็ก ๆ ของคนรอบข้าง และยินดีเมื่อเห็นคนอื่นก้าวหน้า โลกนี้จะงดงามขึ้นทันที หากเราเลือกใช้คำพูดอย่างอ่อนโยน การสนับสนุนและให้กำลังใจคนที่ล้ม คือการพิสูจน์ “ความสูงส่งของจิตใจ” ได้ดีกว่าการบั่นทอนหรือเหยียบย่ำใคร ผู้เขียนอยากชวนทุกคนมองไปรอบตัว เราไม่จำเป็นต้องยิ่งใหญ่กว่าคนอื่น เพียงแค่ “ไม่เหยียบใคร” และ “ยกคนอื่นขึ้นได้” เท่านี้...ก็ถือว่าเราแข็งแกร่งจริงแล้วครับ 

Branch in New Chat: แตกแขนงความคิดใหม่โดยไม่ต้องเริ่มต้นจากศูนย์

Image
ช่วงนี้ผู้เขียนลองเล่นกับฟีเจอร์ใหม่ของ ChatGPT แล้วรู้สึกว่า มันเปลี่ยนวิธีทำงานไปไม่น้อยเลยครับ ฟีเจอร์นี้ชื่อว่า “Branch in New Chat”  เป็นเครื่องมือเล็ก ๆ แต่มีพลังมากในการเปิดโอกาสให้ “ความคิดเก่า” เติบโตเป็น “แนวคิดใหม่” ได้ โดยไม่ต้องเริ่มจากศูนย์อีกต่อไป ในยุคที่เราทำงานกับ AI แทบทุกวัน การมีฟังก์ชันที่ช่วยให้เราต่อยอดความคิดเดิมได้ง่ายขึ้น ถือเป็นสิ่งที่ช่วยประหยัดทั้งเวลาและพลังใจ โดยเฉพาะกับคนที่ชอบทดลองแนวทางหลายแบบอย่างผู้เขียน ฟีเจอร์นี้คืออะไร Branch in New Chat คือการแยกเส้นทางบทสนทนาใหม่ออกจากจุดใดจุดหนึ่งในแชตเดิม เหมือนต้นไม้ที่แตกกิ่งออกจากลำต้นเดิม แต่ยังคงเชื่อมโยงกับรากที่หล่อเลี้ยงมันอยู่เสมอ ฟีเจอร์นี้เปิดให้ใช้ตั้งแต่ 4 กันยายน 2025 (ระบุใน ChatGPT Release Notes ของ OpenAI) และตอนนี้ได้กลายเป็นหนึ่งในเครื่องมือหลักของ ChatGPT แล้ว เมื่อคลิก “⋯” (More Actions) ที่อยู่ด้านล่างคำตอบจาก ChatGPT แล้วเลือก Branch in New Chat ระบบจะเปิดหน้าต่างใหม่ขึ้นมา พร้อมคัดบริบทก่อนหน้าให้ครบทั้งหมด เราจึงสามารถเริ่มแนวทางใหม่ต่อจากตรงนั้นได้ทันที ไม่ต้องก็อปข...