ศึกเกงเล้ง: เมื่อความรู้ปราศจากปัญญาและประสบการณ์
ในเส้นทางชีวิตการทำงาน มีหลายเหตุการณ์ที่ทำให้นึกถึง “ศึกเกงเล้ง” — ศึกที่ขงเบ้งส่งม้าเจ๊กไปป้องกันแนวรบสำคัญ แต่กลับพ่ายแพ้อย่างไม่คาดคิดเพราะการประเมินผิดและยึดติดในความรู้ของตนมากเกินไป
ม้าเจ๊กเลือกตั้งค่ายบนภูเขาแทนที่จะอยู่ใกล้แม่น้ำ แม้ขงเบ้งจะเตือนแล้วก็ตาม ผลคือกองทัพถูกตัดเส้นทางเสบียงและแตกพ่ายในเวลาไม่นาน เหตุการณ์นั้นทำให้ผู้เขียนสะดุดใจกับบทเรียนสำคัญ ... ความรู้เพียงอย่างเดียวไม่อาจทดแทนความมีสติปัญญาและประสบการณ์ได้ และการละเลยคำเตือนจากผู้มากประสบการณ์มักนำไปสู่ความล้มเหลวเสมอ
วรรณคดีที่สอนคนเก่งให้รู้จักถ่อมตน
สามก๊กไม่ใช่แค่เรื่องของสงครามหรืออำนาจ แต่ยังเป็นตำราว่าด้วยจิตใจคน
เต็มไปด้วยบทเรียนเรื่อง “ความรู้ ความภักดี และความผิดพลาดของมนุษย์”
ในบรรดาศึกทั้งหลายที่ขงเบ้งบัญชาการ ไม่มีครั้งใดเจ็บปวดเท่า “ศึกเกงเล้ง”
ครั้งที่เล่าปี่สิ้นไปแล้ว ขงเบ้งยกทัพขึ้นเหนือเพื่อทวงคืนดินแดนจากวุยก๊ก
แต่กลับต้องพ่ายเพราะความผิดพลาดของแม่ทัพที่ไว้ใจที่สุด ... “ม้าเจ๊ก”
สำหรับผู้เขียนแล้วเหตุการณ์นี้เป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่า สามก๊ก ก้าวข้ามจากเรื่องเล่าในวรรณคดี มาเป็นภาพสะท้อนความเป็นจริงของโลกผู้นำ
ม้าเจ๊ก: แม่ทัพผู้ทรงความรู้แต่ไร้บาดแผลแห่งสนามรบ
ม้าเจ๊กเป็นชายหนุ่มที่คงแก่เรียน อ่านตำราพิชัยสงครามมานับไม่ถ้วน
ขงเบ้งมองเห็นแววอัจฉริยะ จึงไว้วางใจและมอบหมายภารกิจสำคัญ
แต่ในศึกครั้งนั้น เขากลับเลือกวางค่ายบน “ยอดเขา” แทนที่จะตั้งใกล้น้ำ
ทั้งที่ขงเบ้งเตือนซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ม้าเจ๊กมั่นใจความรู้ของตนที่ว่าการยึดพื้นที่สูงคือข้อได้เปรียบ แต่เขาลืมเงื่อนไขพื้นฐานของการศึก "กองทัพต้องอาศัยเส้นทางเสบียงและแหล่งน้ำ" เมื่อศัตรูตัดทางลำเลียง กองทัพก็แห้งแล้ง ไพร่พลอดอยาก ทำให้ต้องแตกพ่ายอย่างรวดเร็ว
ผลของความผิดพลาดครั้งนี้รุนแรงยิ่งนัก กองทัพจ๊กสูญเสียกำลังพลและขวัญกำลังใจ เมืองยุทธศาสตร์สำคัญต้องตกอยู่ในมือศัตรู ความเชื่อมั่นในกองบัญชาการถูกสั่นคลอน ศึกครั้งต่อไปของขงเบ้งจึงต้องฟื้นฟูขวัญกำลังใจของกองทัพขึ้นมาใหม่อย่างยากลำบาก
เสียงสะท้อนจากยอดเขาในวันนั้น ไม่ได้ดังเพียงเสียงดาบ แต่คือเสียงของ “ความมั่นใจเกินพอดี” ที่กลืนกินคนเก่งในทุกยุคสมัย
ปัญญา ≠ ปัญญาประยุกต์
ม้าเจ๊กไม่ใช่คนโง่ เขาเป็นคนเก่งที่เคยร่วมศึกย่อย แต่ยังไม่เคยผ่านศึกใหญ่หรือรับมือกับความพ่ายแพ้อย่างแท้จริง
เขายึดมั่นในหลักการ แต่ไม่เข้าใจสภาพการณ์
ขงเบ้งเองก็มีส่วนผิด เพราะเชื่อในความรู้ของม้าเจ๊กมากเกินไป
โดยลืมทดสอบ “ใจของนักรบ” ที่ยังไม่เคยผ่านสมรภูมิ
ในอีกมุมหนึ่ง ม้าเจ๊กคือภาพแทนของ “คนรุ่นใหม่”
ที่เก่งทฤษฎี มีความคิดสร้างสรรค์ แต่ขาดการลงมือทำ
และขงเบ้งคือ “ผู้นำที่ใช้คนโดยไม่รอบคอบ” เพราะไว้วางใจพวกที่รู้ดีแต่ไม่รู้จริง ขาดประสบการณ์ภาคสนาม จนการตัดสินใจนั้นกลายเป็นช่องโหว่ใหญ่ของการบริหาร
บทเรียนชีวิตและการบริหารคน
ศึกเกงเล้งไม่ได้สอนให้เรากลัวความผิดพลาด
แต่มันสอนให้เรา “ตระหนักถึงขีดจำกัดของตนเอง” และ “เลือกคนให้เหมาะกับงาน”
ในชีวิตจริง
-
คนเก่งมักพลาด เพราะมั่นใจในสิ่งที่เรียนรู้มา
-
ผู้นำมักพลาด เพราะมองคนผิด
-
องค์กรมักพลาด เพราะวางคนไม่ตรงกับภารกิจ
ขงเบ้งไม่ได้สูญเสียแค่เมือง แต่ยังสูญเสียความศรัทธาในกองทัพ และความมั่นใจของผู้ใต้บังคับบัญชา
ความพ่ายแพ้ครั้งนี้จึงกลายเป็นบทเรียนอันล้ำค่า ที่ไม่มีตำราใดอธิบายได้ดีเท่าความจริงที่เกิดขึ้น
เมื่อถึงเวลาลงโทษ ขงเบ้งจำต้องสั่งประหารม้าเจ๊กตามกฎอัยการศึก แม้จะรู้สึกเจ็บปวดในใจ
ม้าเจ๊กหลั่งน้ำตา เพราะรู้ดีว่าความพ่ายแพ้ครั้งนั้นไม่ใช่เพียงเรื่องของศึกสงคราม
แต่มันคือการทรยศต่อความไว้วางใจของผู้นำที่มอบหมายภารกิจให้เต็มหัวใจ
ความรู้คือแสง แต่ประสบการณ์คือเส้นทางที่ต้องก้าวด้วยเท้าของตนเอง
ม้าเจ๊กไม่ได้แพ้โจหยิน เขาแพ้ความหลงตัวเอง
และขงเบ้งก็ไม่ได้พ่ายเพราะขาดปัญญา หากแต่พ่ายเพราะประเมินคนผิด มอบหมายภารกิจสำคัญให้ผู้ที่ยังไม่พร้อมจะรับผิดชอบ
บทเรียนนี้ยังใช้ได้เสมอในทุกองค์กร ทุกยุคสมัย
ความรู้คือสิ่งที่ให้แสงนำทาง แต่ประสบการณ์คือสิ่งที่ทำให้เราก้าวได้อย่างมั่นคง
และแสงนั้น — หากไม่รู้จักใช้ มันก็เพียงไฟฉายที่ส่องไปผิดทิศทาง
“ในสนามชีวิต ไม่มีใครได้ชัยจากทฤษฎี
มีแต่ผู้ที่เข้าใจสถานการณ์ตามความเป็นจริง ที่ยืนหยัดอยู่ได้”

Comments
Post a Comment