ความรู้ที่ใช่ สำคัญกว่าปริมาณ: ยกระดับ KM สู่การสร้างมูลค่าองค์กร

ในกระบวนการบริหารจัดการความรู้ (Knowledge Management หรือ KM) ขององค์กร สิ่งหนึ่งที่ผู้เขียนมักพบจุดที่เป็นปัญหา คือการที่ผู้เกี่ยวข้องนำความรู้ทั่วไป หรือบทความทั่วไป หรือข้อมูลจากงานวิจัยภายนอกที่สามารถสืบค้นได้ง่ายมาจัดเก็บเป็นองค์ความรู้ขององค์กร ซึ่งทำให้ฐานข้อมูลมีข้อมูลซ้ำซ้อน ลดคุณค่า และทำให้การค้นหาความรู้ที่มีประโยชน์เป็นไปได้ยากขึ้น

สาเหตุสำคัญของปัญหานี้ ผู้เขียนคาดเองว่าน่าจะมาจากการขาดความเข้าใจในเรื่องนิยามและขอบเขตของ "องค์ความรู้ขององค์กร" โดยความรู้ที่ควรถูกจัดเก็บและจัดการ ควรเป็นความรู้ที่เฉพาะเจาะจง (Unique Knowledge) มีความเกี่ยวข้องกับงานขององค์กรโดยตรง และมีศักยภาพในการสร้างคุณค่าต่อกระบวนการทำงาน

การนำข้อมูลทั่วไปที่พบได้ง่ายจากแหล่งภายนอก เช่น งานวิจัยที่ไม่มีการปรับบริบทหรือบทความทั่วไปจากอินเทอร์เน็ต เข้ามาจัดเก็บเป็นความรู้ขององค์กร จะส่งผลกระทบในหลายด้าน เช่น

  • ความซ้ำซ้อนของข้อมูล ทำให้เกิดความสับสนในการค้นหา

  • ความน่าเชื่อถือของฐานความรู้ลดลง เนื่องจากขาดความเฉพาะเจาะจงต่อบริบทองค์กร

  • สิ้นเปลืองทรัพยากรทั้งด้านเวลา ค่าใช้จ่าย และพื้นที่จัดเก็บ

องค์กรจึงควรมีแนวทางและมาตรฐานในการจัดเก็บองค์ความรู้ โดยเฉพาะการกำหนดเกณฑ์คุณภาพ (Knowledge Quality Criteria) และการสร้างระบบคัดกรองความรู้ที่เข้มงวด โดยเน้นเก็บเฉพาะข้อมูลที่สามารถนำไปปฏิบัติได้จริง สอดคล้องกับบริบทขององค์กร และมีคุณค่าสูงต่อการดำเนินงาน

Knowledge Quality Criteria ควรประกอบด้วยเกณฑ์หลักดังนี้:

  1. ความถูกต้อง (Accuracy) - ข้อมูลต้องถูกต้องตามหลักวิชาการ มีการอ้างอิงแหล่งที่มาอย่างชัดเจน และผ่านการตรวจสอบแล้ว

  2. ความเกี่ยวข้อง (Relevance) - ข้อมูลต้องมีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับกระบวนการทำงานหรือเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ขององค์กร

  3. ความทันสมัย (Currency) - ข้อมูลต้องทันสมัยและมีการอัปเดตอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้สามารถนำไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

  4. ความชัดเจนและเข้าใจง่าย (Clarity and Understandability) - ข้อมูลต้องถูกนำเสนอในรูปแบบที่ชัดเจน เข้าใจง่าย และเหมาะสมกับผู้ใช้งาน

  5. การใช้งานได้จริง (Applicability) - ข้อมูลต้องสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้จริงในการทำงาน สร้างประโยชน์และผลกระทบที่ชัดเจนต่อองค์กร

  6. ความเฉพาะเจาะจง (Specificity) - ข้อมูลต้องมีลักษณะเฉพาะที่ไม่สามารถพบได้ง่ายจากแหล่งภายนอกทั่วไป หรือผ่านการปรับบริบทให้เหมาะสมกับองค์กร

แนวทางแก้ไขปัญหา มีดังนี้:

  1. กำหนดนิยามและขอบเขตขององค์ความรู้ ว่าความรู้ประเภทไหนที่ควรจัดเก็บไว้ในระบบ KM ขององค์กร

  2. จัดตั้งทีมงาน (ที่เข้าใจเรื่อง KM) เพื่อคัดกรอง ตรวจสอบ และรับรองคุณภาพของความรู้ก่อนนำเข้าสู่ระบบ

  3. จัดอบรมและสร้างความตระหนักให้กับพนักงานเกี่ยวกับหลักการจัดเก็บความรู้ที่มีคุณภาพ

  4. ใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมในการจัดเก็บและคัดกรองข้อมูล เพื่อลดการจัดเก็บข้อมูลที่ซ้ำซ้อน

  5. สร้างแรงจูงใจให้พนักงานมีส่วนร่วมในการแบ่งปันความรู้ที่มีคุณค่าและประสบการณ์ที่สามารถนำไปใช้จริงได้ เช่น การยกย่องชมเชย หรือการให้รางวัล

นอกจากนี้ ผู้เขียนยังเห็นว่าองค์กรควรส่งเสริมการมีส่วนร่วมของบุคลากรภายใน เพื่อกระตุ้นการแบ่งปันความรู้ที่มีคุณค่าและใช้งานได้จริง เช่น Best Practices, Lessons Learned หรือองค์ความรู้เฉพาะทางที่ได้จากประสบการณ์ตรง ซึ่งจะช่วยให้ระบบ KM ขององค์กรมีประสิทธิภาพ สามารถนำไปใช้ในการสร้างประโยชน์ต่อองค์กรได้อย่างแท้จริงในระยะยาว

ข้อเสนอแนะเชิงกลยุทธ์

องค์กรควรนำหลักการ KM ไปผนวกเข้ากับกลยุทธ์การดำเนินงาน โดยเชื่อมโยงการจัดการความรู้กับเป้าหมายเชิงธุรกิจที่สำคัญ เช่น การเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน การลดต้นทุน และการส่งเสริมนวัตกรรมในองค์กร ทั้งนี้ ควรมีการติดตาม ประเมินผลอย่างต่อเนื่อง และปรับปรุงกลยุทธ์ KM อยู่เสมอ เพื่อให้สามารถตอบสนองต่อความต้องการขององค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพในระยะยาว

Comments

Popular Posts of Last 30 days

เผยเพิ่ม! 10 คำสั่งลับใหม่ ให้ภาพ AI สมจริงจนคนดูต้อง “ซูม” ดูว่าจริงหรือเปล่า?

Codex กลับมาอีกครั้ง! กับบทบาทใหม่ใน ChatGPT: Software Engineering Agent ที่ทำได้มากกว่าเขียนโค้ด

Scambodia: Scam + Cambodia เมืองหลวงแห่งอาชญากรรมไซเบอร์