รูปแบบการซ้อมที่นักวิ่งระยะไกลควรรู้
ผู้เขียนยังจำได้ดีถึงช่วงแรกที่เริ่มวิ่งใหม่ ๆ เมื่อสองสามปีที่แล้ว ตอนนั้นการซ้อมคือการใส่รองเท้าแล้วออกไปวิ่งให้ได้ไกลที่สุด นานที่สุด เท่าที่จะทำได้ ความคิดง่าย ๆ แบบนั้นทำให้เหนื่อยเร็ว บาดเจ็บบ่อย และไม่เห็นพัฒนาการที่ชัดเจนเลย จนกระทั่งผู้เขียนได้รู้จักกับ “รูปแบบการซ้อมวิ่ง” ที่นักวิ่งระยะไกลจริงจังใช้กัน โลกของการวิ่งก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
การซ้อมวิ่งไม่ใช่แค่ “ออกไปวิ่ง” แต่คือการผสมผสานรูปแบบต่าง ๆ ที่มีเป้าหมายเฉพาะ เพื่อสร้างทั้งความทนทาน ความเร็ว ความแข็งแรง และการฟื้นตัว บทความนี้ผู้เขียนอยากชวนทุกคนมาทำความรู้จักกับการซ้อมแต่ละแบบ พร้อมทั้งยกตัวอย่างตารางซ้อมเพื่อเป็นแนวทาง
1. Easy Run – วิ่งเบาสบาย
วันไหนที่ผู้เขียนออกวิ่งแบบ Easy Run คือวันที่รู้สึกเหมือนได้พูดคุยกับร่างกายอย่างใจเย็น ความเร็วไม่ใช่เรื่องสำคัญ แต่คือการวิ่งที่ยังสามารถคุยกับเพื่อนได้เป็นประโยคยาว ๆ การวิ่งแบบนี้ช่วยสร้างฐานความฟิตที่มั่นคง และเป็นวันที่ร่างกายได้ฟื้นตัวไปพร้อมกับการเคลื่อนไหว
หลักการ:
Easy Run คือการวิ่งในระดับ aerobic zone (Zone 2) ที่หัวใจเต้นช้า–ปานกลาง เหมาะสำหรับสร้างความทนทานพื้นฐาน (aerobic base) และช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวโดยไม่เกิดความเครียดเกินไป สำหรับผู้เขียนก็คือการวิ่งประมาณ pace 7:30 หรือช้ากว่า
ประโยชน์: พัฒนาการเผาผลาญไขมัน เสริมสมรรถภาพหัวใจ–ปอด และลดความเสี่ยงบาดเจ็บ
2. Long Run – วิ่งยาว
การวิ่ง Long Run ระยะทางสิบกว่ากิโลเมตรที่ดูเหมือนไม่สิ้นสุด แต่ทุกก้าวคือบทเรียนในการฝึกจิตใจและความทนทาน การวิ่งยาวไม่ได้ช่วยแค่ขาแข็งแรงขึ้น แต่ยังสอนให้ผู้เขียนรู้จัก “ความอดทน” และ “การจัดการพลังงาน” ที่จำเป็นสำหรับฮาล์ฟมาราธอนหรือมาราธอนจริง ๆ
หลักการ:
Long Run คือการวิ่งที่มีระยะทางนานกว่าปกติ มักทำสัปดาห์ละครั้งใน Zone 2–3 (ประมาณ pace 6:30-7:00) เพื่อฝึกใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ
ประโยชน์: เพิ่มความทนทาน (endurance) ฝึกใช้พลังงานจากไขมัน และเสริมความแข็งแกร่งด้านจิตใจสำหรับการวิ่งระยะไกล
3. Tempo Run – วิ่งเทมโป
วิ่งเทมโปคือวันที่รู้สึกว่าต้องจริงจังกับตัวเองมากขึ้น ผู้เขียนมักจะบอกตัวเองว่า “มันไม่ง่าย แต่ก็ไม่ถึงกับสุดขีด” จังหวะการวิ่งจะเร็วพอให้หัวใจเต้นแรง เหงื่อออกเต็มตัว แต่ยังคุมได้ จุดนี้แหละที่ทำให้ร่างกายเรียนรู้ที่จะทนต่อความเหนื่อย และนั่นคือกุญแจสำคัญที่ทำให้ผู้เขียนวิ่งเร็วขึ้นโดยไม่หมดแรงก่อนเวลา
หลักการ:
Tempo Run คือการวิ่งที่ระดับ Lactate Threshold (ประมาณ 80–88% HRmax) สำหรับผู้เขียนก็ราว ๆ pace 6:00- 6:30 อย่างน้อยครึ่งชั่วโมง ซึ่งเป็นจุดที่ร่างกายเริ่มสะสมกรดแลกติก
ประโยชน์: พัฒนาความสามารถในการ “ทนความเหนื่อย” ทำให้สามารถรักษาความเร็วสูงได้นานขึ้น
4. Interval Training – วิ่งสลับเร็ว–ช้า
ถ้าให้ผู้เขียนบอกว่าวันไหนที่รู้สึกเหมือนถูกท้าทายที่สุด ก็คือวันที่ซ้อม Interval การเร่งสปีดสั้น ๆ แล้วพัก แล้วกลับมาเร่งใหม่ เหมือนการทดสอบใจซ้ำแล้วซ้ำอีก แต่ผลลัพธ์ที่ได้คือความเร็วและ VO₂max ที่ดีขึ้น ซึ่งผู้เขียนเห็นชัดเจนเวลาลงสนามแข่ง 10K
หลักการ:
Interval Training คือการวิ่ง สลับความเร็วสูง (Zone 4–5) ราว ๆ pace 5:30-6:00 และพักเบา ๆ ราว pace 8:00 ซ้ำเป็นรอบ ๆ
ประโยชน์: เพิ่ม VO₂max ความเร็ว และการฟื้นตัวของร่างกายในช่วงวิ่งหนัก
5. Repetition / Speed Work – วิ่งสปีด
นี่คือการซ้อมที่ทำให้ผู้เขียนกลับไปนึกถึงความรู้สึกเหมือนตอนเป็นเด็กที่วิ่งแข่งกันในสนามหญ้า วิ่งเต็มสปีดระยะสั้น ๆ ช่วยพัฒนาก้าว การใช้พลัง และความเร็วสูงสุด ถึงแม้มันจะหนักและเหนื่อยเร็ว แต่ก็ทำให้ผู้เขียนรู้สึกมีชีวิตชีวาเหมือนได้รีสตาร์ทความเร็วของตัวเองอีกครั้ง
หลักการ:
Repetition คือการวิ่งสั้น ๆ ด้วยความเร็วสูงกว่า pace การแข่งปกติ มักใช้ระยะ 100–400 เมตร
ประโยชน์: ปรับปรุงท่าทางการวิ่ง (running form) พัฒนาความเร็วสูงสุด และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้กล้ามเนื้อ
6. Fartlek – วิ่งเล่นความเร็ว
ผู้เขียนชอบเรียก Fartlek ว่า “วิ่งตามอารมณ์” เพราะมันคือการเร่งและผ่อนแบบไม่ต้องตายตัว บางครั้งผู้เขียนใช้เสาไฟฟ้าข้างถนนเป็นตัวกำหนด บางครั้งก็ใช้เสียงเพลงที่เปิดอยู่ การวิ่งแบบนี้ทำให้การซ้อมสนุก ไม่เคร่งเครียด และแอบได้ฝึกความเร็วไปพร้อม ๆ กัน
หลักการ:
Fartlek เป็นการซ้อมผสมผสาน “วิ่งเร็ว–ช้า” แบบอิสระ ไม่มีกฎตายตัวเหมือน Interval
ประโยชน์: เพิ่มความทนทานและความเร็วไปพร้อมกัน เสริมความหลากหลาย ลดความจำเจในการซ้อม
7. Hill Training – วิ่งขึ้นเนิน
ไม่มีอะไรทำให้ผู้เขียนรู้สึกถึง “แรงระเบิด” ของกล้ามเนื้อขาได้เท่ากับการวิ่งขึ้นเนิน การซ้อมแบบนี้อาจโหดแต่ผลลัพธ์คือกล้ามเนื้อขาที่แข็งแรงขึ้นและ form ที่มั่นคงมากขึ้น ทุกครั้งที่ต้องเจอสะพานหรือทางลาดในการแข่ง ผู้เขียนก็ขอบคุณ Hill Training เสมอ อย่างไรก็ตามนาน ๆ ที ผู้เขียนถึงจะมีโอกาสได้ซ้อมแบบนี้ สถานที่ไม่เอื้ออำนวย
หลักการ:
Hill Training คือการวิ่งขึ้นเนินหรือทางชัน เพื่อเพิ่มแรงต้านตามธรรมชาติ
ประโยชน์: เสริมความแข็งแรงกล้ามเนื้อ เพิ่มพลังระเบิด (power) ช่วยให้ form การวิ่งมั่นคงขึ้น
8. Recovery Run – วิ่งฟื้นตัว
วันที่ผู้เขียนเลือก Recovery Run คือวันที่ให้ร่างกายได้พักแบบไม่หยุดนิ่ง มันไม่เร็ว ไม่หนัก แต่ช่วยให้เลือดไหลเวียน ฟื้นฟูกล้ามเนื้อ และทำให้พร้อมสำหรับการซ้อมหนักครั้งต่อไป ผู้เขียนเชื่อว่าวันพักแบบนี้คือ “เบื้องหลังความสำเร็จ” ที่หลายคนมองข้าม
หลักการ:
Recovery Run คือการวิ่งช้าใน Zone 1–2 เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนเลือด
ประโยชน์: ลดอาการล้าของกล้ามเนื้อ เร่งการฟื้นตัว และป้องกัน overtraining
ตัวอย่างตารางซ้อมวิ่ง 1 สัปดาห์
ตัวอย่างตารางซ้อมนี้เหมาะสำหรับนักวิ่งที่มีฐานการวิ่งมาบ้างแล้ว (20–30 กม./สัปดาห์)
-
วันจันทร์ – Recovery Run: 5 กม. pace ช้า ๆ (Zone 1–2)
-
วันอังคาร – Interval: วอร์ม 2 กม. → 6 × 800 ม. pace 5K / จ็อกพัก 400 ม. → คูลดาวน์ 2 กม.
-
วันพุธ – Easy Run: 6–8 กม. pace สบาย + core workout
-
วันพฤหัสบดี – Tempo Run: วอร์ม 2 กม. → Tempo 5 กม. (80–88% HRmax) → คูลดาวน์ 2 กม.
-
วันศุกร์ – Hill หรือ Fartlek:
-
Hill: 8 × 150 ม. ขึ้นเนิน / เดินลงพัก (ไม่ค่อยได้ซ้อมแบบนี้ครับ แถวบ้านไม่มีเนิน)
-
Fartlek: 2 นาทีเร็ว + 3 นาทีช้า × 6 รอบ
-
-
วันเสาร์ – Easy Run: 5–7 กม. pace เบาสบาย
-
วันอาทิตย์ – Long Run: 12–18 กม. pace Zone 2–3 พร้อมโภชนาการและน้ำ
สรุป
จากประสบการณ์ของผู้เขียน การซ้อมวิ่งระยะไกลที่มีประสิทธิภาพไม่ได้ขึ้นอยู่กับความเร็วเพียงอย่างเดียว แต่คือการจัดสมดุลของการซ้อมแต่ละแบบให้เหมาะสม Easy Run ให้ฐาน, Long Run ให้ความทนทาน, Tempo และ Interval ทำให้วิ่งเร็วขึ้น, ส่วน Recovery Run และ Fartlek การฟื้นตัว และเติมสีสัน
เมื่อผู้เขียนลองปรับตารางซ้อมให้ครบทุกแบบ ผลที่ได้คือไม่เพียงแต่เวลาการแข่งที่ดีขึ้น แต่ยังรู้สึกสนุกกับการวิ่งมากกว่าเดิม และนั่นคือเสน่ห์ของการวิ่งระยะไกลที่ผู้เขียนอยากแบ่งปันให้ทุกคนได้สัมผัส
Comments
Post a Comment