รายงานสรุปวิกฤตการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ณ วันที่ 11 ธันวาคม 2568 (07:00 AM)
สถานการณ์ความขัดแย้งบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาได้ทวีความรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่วันที่ 8 ธันวาคม 2568 โดยล่าสุด (11 ธ.ค. - 07:00 AM) การปะทะได้ขยายวงกว้างใน 5 จังหวัดชายแดน กองทัพไทยได้ยกระดับปฏิบัติการตอบโต้ด้วยกำลังทางอากาศเพื่อทำลายจุดยุทธศาสตร์ที่ฝ่ายตรงข้ามใช้ "กลยุทธ์ตบตา" (Deceptive Tactics) แฝงตัวในพื้นที่พลเรือน ท่ามกลางการวิเคราะห์ว่าผู้นำกัมพูชากำลังใช้สงครามนี้ในลักษณะเดียวกับ "Scammer" เพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง
1. ยุทธศาสตร์ "Scammer" ของผู้นำกัมพูชา: การตบตาและบิดเบือน
จากการวิเคราะห์ข้อมูลและท่าทีของฝ่ายกัมพูชา พบว่ารัฐบาลกัมพูชาภายใต้การนำของตระกูลฮุน ใช้วิธีการที่เปรียบเสมือน "Scammer" หรือนักต้มตุ๋นทางการเมืองและการทหาร ใน 3 มิติหลัก:
-
มิติที่ 1: การ "ฟอกขาว" พื้นที่สีเทาให้เป็นฐานทหาร (Camouflage Tactics) กัมพูชาใช้วิธีการอำพรางทางยุทธวิธีด้วยการเปลี่ยนพื้นที่พลเรือนและพื้นที่ธุรกิจสีเทาให้เป็นฐานปฏิบัติการทางทหาร เพื่อหวังผลทางการเมืองหากไทยโจมตีตอบโต้:
- บ่อนกาสิโน = ฐานบัญชาการ: กองทัพไทยตรวจพบว่ากัมพูชาได้ดัดแปลง "บ่อนกาสิโน" ตามแนวชายแดน ซึ่งเดิมมักถูกเชื่อมโยงกับธุรกิจสีเทาและแก๊งคอลเซ็นเตอร์ (Scammer) ให้กลายเป็น "ฐานบัญชาการรบและศูนย์ควบคุมโดรน" เพื่อโจมตีไทย
- โบราณสถาน = โล่มนุษย์: มีหลักฐานยืนยันว่ากัมพูชาตั้งใจใช้พื้นที่โบราณสถาน "ปราสาทเขาพระวิหาร" เป็นฐานที่ตั้งทางทหารและจุดสังเกตการณ์ เพื่อใช้ความสำคัญทางวัฒนธรรมเป็นเกราะป้องกันการตอบโต้จากไทย
-
มิติที่ 2: การบิดเบือนข้อมูล (Distortion of Truth) นายกรัฐมนตรีฮุน เซน และกองทัพกัมพูชา พยายามสร้างวาทกรรมว่าไทยเป็นผู้รุกราน โดยกองทัพบกไทยได้ออกมาโต้ตอบทันทีว่า "อย่าบิดเบือน" (Don't distort) เพราะกัมพูชาเป็นฝ่ายเริ่มโจมตีก่อน, การกระทำนี้คล้ายกระบวนการ Scammer ที่สร้างเรื่องเท็จเพื่อเรียกร้องความสงสารหรือความชอบธรรมจากเวทีโลก
-
มิติที่ 3: การเมืองแบบ "ตกทอง" (Political Profiteering) นักวิชาการวิเคราะห์ว่า ข้อพิพาทนี้ถูกใช้เป็น "เครื่องมือทางการเมือง" (Political Tool) เพื่อกระชับอำนาจภายในของตระกูลฮุน รัฐบาลกัมพูชาใช้กระแสชาตินิยมและบทบาท "ผู้ปกป้องอธิปไตย" เพื่อสร้างความชอบธรรมและเบี่ยงเบนความสนใจประชาชนจากปัญหาเศรษฐกิจและการเมืองภายใน
2. ปฏิบัติการทางอากาศของไทย: การทำลาย "รังบัญชาการ"
เพื่อตอบโต้กลยุทธ์ดังกล่าว กองทัพไทยได้ประกาศใช้ "สิทธิในการป้องกันตนเอง" (Right to Self-Defense) โดยเน้นการโจมตีที่ จำเพาะเจาะจง (Precision Strike) ต่อเป้าหมายทางทหารที่แฝงตัวอยู่:
- ปฏิบัติการทิ้งระเบิดใส่ "บ่อนกาสิโน": เครื่องบินรบของไทยได้เข้าทำลายเป้าหมายที่ถูกระบุว่าเป็นศูนย์สั่งการและคลังอาวุธที่ซ่อนอยู่ในบ่อนกาสิโน ได้แก่:
- บ่อนโอร์เสม็ด (ตรงข้าม จ.สุรินทร์)
- บ่อนช่องอานม้า (ตรงข้าม จ.อุบลราชธานี)
- บ่อนสายตะกู (ตรงข้าม จ.บุรีรัมย์)
- บ่อนทมอดา (ตรงข้าม จ.ตราด)
- บ่อนย่านจุ๊บโกกี (ถูกทิ้งระเบิดโดย F-16)
- การทำลายจุดยุทธศาสตร์: กองทัพภาคที่ 2 ได้ยิงทำลาย "เครน" บนเขาพระวิหารที่ถูกใช้เป็นฐานทหาร และระดมยิงทำลายคลังน้ำมันจุดเติมเชื้อเพลิงจรวด BM-21
3. ความสูญเสีย: วีรชนและความเสียหายของพลเรือน
- วีรชนทหารกล้า: มีรายงานทหารไทยเสียชีวิตจากการปะทะอย่างน้อย 9 นาย (ข้อมูล ณ เช้า 11 ธ.ค.) โดยมีรายชื่อผู้สละชีพเพื่อชาติ อาทิ จ.ส.อ.ศตวรรษ สุจริต, พลทหาร วายุ ขวัญเสือ, ส.อ.ชวกร เดชขุนทด, ส.ท.จิระวัฒน์ มุ่งกลาง, พลทหาร เทิดศักดิ์ ศรีลาชัย, จ.ส.อ.อนันดา อุดร, พลทหาร ธนรัตน์ จันทร์ประทัด, พลทหาร ชาญชัย ผดุงโชค, และ พลทหารธนกร สิงหาชาติ
- ผลกระทบต่อพลเรือน: จรวด BM-21 ของกัมพูชาตกใส่พื้นที่โรงพยาบาลพนมดงรักและบ้านเรือนประชาชน, ส่งผลให้มีการอพยพประชาชนกว่า 4 แสนคน และสัตว์เลี้ยงได้รับผลกระทบกว่า 5 ล้านตัว
4. เปรียบเทียบขุมกำลัง: ความเหนือชั้นของไทย vs กลยุทธ์กองโจร
ข้อมูลจาก Global Firepower 2025 ชี้ชัดถึงความได้เปรียบของไทย:
- ไทย (อันดับ 25 ของโลก): มีกำลังพลพร้อมรบ 2.45 แสนนาย เหนือกว่าด้วยทัพอากาศ (F-16, Gripen, Black Hawks) และทัพเรือ (เรือบรรทุกเครื่องบิน)
- กัมพูชา (อันดับ 95 ของโลก): มีกำลังพล 1.24 แสนนาย ไม่มีเครื่องบินรบแม้แต่ลำเดียว มีเพียงเฮลิคอปเตอร์และเรือจู่โจมชายฝั่ง จุดแข็งเดียวคือความคุ้นเคยภูมิประเทศและกลยุทธ์การดึงมหาอำนาจเข้ามาแทรกแซง
5. ผลกระทบทางเศรษฐกิจ
การปิดด่านชายแดน 18 แห่ง ต่อเนื่อง 138 วัน สร้างความเสียหายมหาศาล:
- ไทย: การค้าชายแดนหายไปกว่า 8.4 หมื่นล้านบาท (กระทบ GDP 0.5%)
- กัมพูชา: เจ็บหนักกว่าที่ 2.1% ของ GDP เนื่องจากการสูญเสียรายได้หลักจากการค้า การท่องเที่ยว และธุรกิจกาสิโน (ที่ถูกโจมตีเสียหาย)
บทสรุปและมุมมองเปรียบเทียบ
ผู้เขียนมีความเห็นว่า พฤติกรรมของผู้นำกัมพูชาในวิกฤตครั้งนี้เปรียบเสมือน "แก๊งคอลเซ็นเตอร์ข้างบ้าน" ที่พยายามสร้างสถานการณ์หลอกลวงคนในบ้านตัวเอง (ประชาชนกัมพูชา) ว่ากำลังถูกรังแก เพื่อให้ทุกคนรวมใจกันปกป้องหัวหน้าแก๊ง โดยไม่สนว่าจะต้องเอา "เพื่อนบ้านที่แข็งแกร่งกว่า" (ไทย) มาเป็นศัตรู หรือต้องเอา "ร้านค้าหน้าบ้าน" (บ่อนกาสิโน/เศรษฐกิจ) มาเป็นโล่กำบัง ซึ่งท้ายที่สุด คนที่ต้องรับเคราะห์กรรมคือชาวบ้านตาดำๆ ที่ต้องสูญเสียรายได้และที่อยู่อาศัยให้กับกลลวงของผู้มีอำนาจเพียงไม่กี่คน

Comments
Post a Comment