ให้ด้วยใจ เชื่อด้วยปัญญา
ไปอ่านเจอมาชอบมากครับ
“Give, but don’t allow yourself to be used. Trust, but don’t be naive.”
ประโยคสั้น ๆ นี้เป็นเหมือนกระจกสะท้อนความจริงของชีวิตที่หลายคนมักมองข้าม การให้และการเชื่อใจถือเป็นคุณธรรมที่งดงาม แต่ถ้าขาดสติและขอบเขต มันอาจกลายเป็นบาดแผลที่ย้อนมาทำร้ายเราเองได้
การ “ให้” คือการมอบสิ่งที่มีคุณค่าทั้งในรูปของเวลา พลังงาน หรือความช่วยเหลือให้ผู้อื่น แต่หากให้จนลืมดูแลตนเอง หรือปล่อยให้ผู้อื่นฉวยโอกาส ก็เท่ากับเราไม่ได้ให้ด้วยความสมัครใจอีกต่อไป แต่เป็นการถูกใช้ประโยชน์ ดังนั้นการให้ที่แท้จริงจึงควรมาพร้อมกับเส้นแบ่งที่ชัดเจนว่า ตรงไหนคือความเมตตา และตรงไหนคือการละเมิดคุณค่าของเรา
ลองนึกถึงสถานการณ์ในที่ทำงาน บางครั้งเราเต็มใจช่วยเพื่อนร่วมงาน แต่หากมีคนหนึ่งคนที่ขอให้เราทำแทนตลอดโดยไม่พยายามทำเองเลย นั่นไม่ใช่การให้ที่เกิดจากความร่วมมือ แต่เป็นการถูกเอาเปรียบ การรู้จักบอกปฏิเสธด้วยเหตุผลชัดเจนก็เป็นการปกป้องตัวเองโดยไม่ลดคุณค่าของการช่วยเหลือคนอื่นลง
ในอีกด้านหนึ่ง การ “เชื่อใจ” คือรากฐานของความสัมพันธ์ทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นมิตรภาพ ความรัก หรือการทำงานร่วมกัน แต่การเชื่ออย่างไร้เดียงสา โดยไม่พิจารณาหรือสังเกตพฤติกรรมจริง อาจนำพาไปสู่ความผิดหวังและการถูกหลอกลวงได้ การเชื่อที่ถูกต้องจึงควรมาพร้อมกับปัญญา ... เชื่อด้วยหัวใจ แต่เปิดตาและใช้เหตุผลเป็นเครื่องคุ้มกัน
เช่น ในความสัมพันธ์ส่วนตัว หากเราเชื่อใจใครโดยไม่ดูการกระทำจริง อาจทำให้เรามองข้ามสัญญาณเตือนเล็ก ๆ ที่บอกว่าคนคนนั้นอาจไม่ได้จริงใจกับเรา การใช้สติและการสังเกตจะช่วยให้เรายังรักษาความไว้ใจได้ แต่ไม่เสี่ยงที่จะเจ็บปวดเกินจำเป็น
ข้อความนี้จึงเปรียบเสมือนเข็มทิศบอกเราว่า ชีวิตไม่จำเป็นต้องเลือกสุดโต่งระหว่าง “ใจดีจนถูกเอาเปรียบ” หรือ “ระแวงจนไร้ความไว้ใจ” หากแต่คือการหาจุดสมดุลที่พอดี การให้ที่ทำให้เราและเขาเติบโตไปพร้อมกัน การเชื่อที่ทำให้ความสัมพันธ์แข็งแรงโดยไม่ทำร้ายตัวเราเอง
นี่แหละคือศิลปะแห่งการใช้ชีวิต ... การรู้จักให้โดยไม่สูญเสีย การเชื่อโดยไม่ถูกทำร้าย และการดำเนินชีวิตด้วยเมตตาที่มีปัญญากำกับ
Comments
Post a Comment