กัมพูชา: ศูนย์กลางอาชญากรรมไซเบอร์ที่โลกต้องจับตา
กัมพูชาได้กลายเป็น ศูนย์กลางสำคัญของอาชญากรรมทางไซเบอร์ โดยเฉพาะการฉ้อโกงออนไลน์ การฟอกเงิน และมีความเชื่อมโยงอย่างลึกซึ้งกับบุคคลผู้มีอำนาจ ซึ่งก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจ การปกครอง และความมั่นคงระหว่างประเทศ
ขนาดของปัญหาและผลกระทบทางเศรษฐกิจ
มีการประมาณการว่ารายได้จากการฉ้อโกงในกัมพูชามีสูงถึง 12,500 ถึง 19,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี ซึ่งเทียบเท่ากับ 60% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ของกัมพูชา รายได้นี้ แซงหน้าอุตสาหกรรมหลักที่ใหญ่ที่สุดของประเทศอย่างอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่มและสิ่งทออย่างมาก
อาชญากรรมทางไซเบอร์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สร้างรายได้ต่อปีระหว่าง 50,000- 75,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยมีแรงงานไซเบอร์มากกว่า 350,000 คน
กัมพูชาโดดเด่นที่สุดในกลุ่มประเทศกัมพูชา เมียนมาร์ และลาว ทั้งในแง่ของขนาดและความคงทนในระยะยาวของการเป็นแหล่งอาชญากรรมทางไซเบอร์
การดำเนินงานฉ้อโกงเหล่านี้ก่อให้เกิดผลกระทบหลายด้านต่อสังคมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเป็นการ บั่นทอนเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ขัดขวางการพัฒนาในวงกว้าง บ่อนทำลายธรรมาภิบาล และทำลายความเชื่อมั่นในสังคม
ความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการฉ้อโกงยังรวมถึงการสูญเสียทางการเงินจำนวนมหาศาลของผู้ตกเป็นเหยื่อทั่วโลก
ลักษณะของการฉ้อโกงทางไซเบอร์และการใช้แรงงานบังคับ
กลุ่มอาชญากรใช้ประโยชน์จากสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 โดยเปลี่ยนสิ่งอำนวยความสะดวก เช่น คาสิโน โรงแรม และรีสอร์ต ที่ว่างเปล่าให้กลายเป็น "อาคารฉ้อโกง" (scam compounds) เพื่อหลอกลวงผู้คนทั่วโลก
มีการใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในการดำเนินงาน รวมถึง Sim boxes สำหรับส่งข้อความหรือโทรศัพท์จำนวนมาก, Starlink internet receivers สำหรับอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงโดยไม่ต้องพึ่งโครงสร้างพื้นฐานในท้องถิ่น, เว็บไซต์มิเรอร์ (mirror websites) เพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจจับ และ เครื่องมือ AI (Artificial Intelligence) สำหรับสร้างบทสนทนา รูปภาพ และดีปเฟค (deepfakes)
การฉ้อโกงแบ่งออกเป็นหลายประเภทหลัก ได้แก่:
การฉ้อโกงโรแมนซ์และการลงทุน (pig-butchering scams): สร้างความไว้วางใจกับเหยื่อผ่านความสัมพันธ์โรแมนติกเพื่อหลอกลวงให้ลงทุนในโครงการที่ไม่มีอยู่จริง
การแอบอ้างบุคคลอื่น (impersonation scams): ปลอมตัวเป็นหน่วยงานที่น่าเชื่อถือ เช่น ตำรวจ หรือตัวแทนบริการลูกค้า
การฉ้อโกงอีคอมเมิร์ซ (e-commerce scams): สร้างร้านค้าออนไลน์ปลอมเพื่อหลอกขายสินค้าที่ไม่มีอยู่จริง
โครงการ Ponzi คริปโต (Crypto Ponzi schemes): สัญญาผลตอบแทนสูงจากการลงทุนคริปโตที่ไม่มีความเสี่ยง
การกรรโชกทางออนไลน์ (online extortion): แบล็กเมล์เหยื่อด้วยข้อมูลที่น่าอับอายหรือเป็นความผิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้ภาพหรือวิดีโออนาจาร (sextortion)
อาชญากรรมที่เกี่ยวข้องกับไซเบอร์อื่นๆ: รวมถึงการโจมตีแบบฟิชชิ่ง (phishing) และมัลแวร์ (malware attacks)
การฉ้อโกงเหล่านี้สร้างเหยื่อสองประเภท: ผู้ที่ถูกฉ้อโกง และ ผู้ที่ถูกบังคับให้ทำงานในฐานะผู้ดำเนินงานฉ้อโกง
ผู้ถูกชักชวนมักเป็นคนหนุ่มสาวที่เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีและมีความรู้หลายภาษา ซึ่งถูกหลอกด้วยข้อเสนองานที่ดูน่าเชื่อถือ
วิธีการบังคับใช้รวมถึงการขู่ว่าจะส่งตัวให้ทหารท้องถิ่น ขายให้บริษัทอื่น การลงโทษทางกายภาพ หรือแม้กระทั่งการนำอวัยวะไปขาย มีรายงานการถูกทำร้าย ทรมาน และแม้กระทั่งฆาตกรรม การยึดเอกสารประจำตัวและการจำกัดการสื่อสารก็เป็นส่วนหนึ่งของวิธีการควบคุม บางคนเข้าสู่ธุรกิจนี้โดยสมัครใจ แต่ต่อมาไม่สามารถออกไปได้หรือถูกค้ามนุษย์แต่ตัดสินใจอยู่ต่อเนื่องจากสามารถทำกำไรได้
การฟอกเงินและเครือข่ายทางการเงิน
กลุ่มอาชญากรไซเบอร์ใช้ สกุลเงินดิจิทัล (cryptocurrencies) โดยเฉพาะ stablecoins และผู้ให้บริการสินทรัพย์เสมือนจริงเพื่อปกปิดผลกำไรมหาศาล
Huione Group ถูกระบุว่าเป็นศูนย์กลางหลักในการฟอกเงินที่เกี่ยวข้องกับการฉ้อโกง และถูกขึ้นบัญชีดำโดยสหรัฐอเมริกา
บริษัทในเครือของ Huione Group รวมถึง Huione Pay PLC (ผู้ให้บริการชำระเงิน) และ Haowang Guarantee (ตลาดออนไลน์ที่เกี่ยวข้องกับสินค้าและบริการผิดกฎหมาย)
Huione Pay ถูกธนาคารกลางของกัมพูชายกเลิกใบอนุญาตประกอบกิจการในเดือนมีนาคม 2568 เนื่องจากละเมิดกฎระเบียบ
Elliptic บริษัทด้านนิติเวชบล็อกเชน ระบุว่า Huione Guarantee เป็น "ตลาดอาชญากรรมที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์" โดยมีธุรกรรมที่บันทึกไว้มากกว่า 27,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
มีรายงานว่า Huione Group ได้เปิดตัวแอปพลิเคชันส่งข้อความ "ChatMe" และบล็อกเชนของตัวเอง (Huione Chaine หรือ Xone Chain) รวมถึง stablecoin (USDH)
รองเลขาธิการกระทรวงการคลังของสหรัฐฯ ระบุว่า Huione Group เป็นตลาดที่กลุ่มอาชญากรไซเบอร์ รวมถึงเกาหลีเหนือและองค์กรอาชญากรรม ใช้ในการขโมยเงินหลายพันล้านดอลลาร์จากประชาชน
ความเกี่ยวข้องกับผู้มีอำนาจและการทุจริต
รายงานระบุว่า ชนชั้นนำท้องถิ่น หรือ "ผู้เปลี่ยนบทบาท (role shifters)" มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนและอำนวยความสะดวกในการฉ้อโกงทางไซเบอร์ โดยบุคคลเหล่านี้สามารถปรับเปลี่ยนบทบาทระหว่างธุรกิจ การเมือง และอาชญากรรมได้
มีข้อกล่าวหาว่า รายได้จากกิจกรรมที่ผิดกฎหมายเหล่านี้เชื่อมโยงกับบุคคลที่ใกล้ชิดกับชนชั้นนำทางการเมืองของกัมพูชา
มีการพาดพิงถึงหลานชายของอดีตนายกรัฐมนตรีฮุน เซน ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการฉ้อโกงออนไลน์ขนาดใหญ่ รวมถึงการยักยอกสินทรัพย์ดิจิทัลกว่า 49,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐตั้งแต่ปี 2564 และมีส่วนเกี่ยวข้องกับ Huione Group
กัมพูชาถูกจัดอันดับต่ำในดัชนีธรรมาภิบาลโลก และมีการระบุว่าเจ้าหน้าที่รัฐบาลมีส่วนเกี่ยวข้องกับรายได้ที่ผิดกฎหมายมานานหลายทศวรรษ ตั้งแต่การลักลอบขนของผิดกฎหมาย การตัดไม้ทำลายป่า การทำเหมือง และการยึดครองที่ดินโดยมิชอบ
การทุจริตแพร่หลายในกัมพูชา และการติดสินบนเจ้าหน้าที่ตำรวจได้กลายเป็นแหล่งรายได้เสริม
มีการกล่าวหาว่าอาคารฉ้อโกงบางแห่งมีความเชื่อมโยงกับนักพัฒนาชาวจีนและโครงการ Belt and Road Initiative (BRI) แม้ว่าสถานะของโครงการเหล่านี้จะยังไม่ชัดเจนก็ตาม
ปัญหาการทุจริตและการขาดการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มแข็งทำให้เครือข่ายอาชญากรรมสามารถปรับตัวและเคลื่อนย้ายการปฏิบัติการได้อย่างรวดเร็ว เพื่อใช้ประโยชน์จากช่องว่างในการกำกับดูแล
ความท้าทายและการตอบสนอง
มีการปฏิบัติการภายใต้การประสานงานของ INTERPOL เพื่อปราบปรามโครงสร้างพื้นฐานอาชญากรรมไซเบอร์ โดยมีการยึด IP address และโดเมนที่เป็นอันตรายมากกว่า 20,000 รายการ เซิร์ฟเวอร์ 41 เครื่อง และจับกุมผู้ต้องสงสัย 32 คนใน Operation Secure (มกราคม – เมษายน 2568)
การปราบปรามในฟิลิปปินส์และการสอบสวนการฟอกเงินในสิงคโปร์เป็นตัวอย่างความพยายามในการแก้ไขปัญหา
อย่างไรก็ตาม การปราบปรามมักนำไปสู่การย้ายที่ตั้งของการดำเนินงานฉ้อโกงไปยังสถานที่อื่นที่ได้รับการตรวจสอบน้อยกว่า
รัฐบาลกัมพูชาได้ปฏิเสธข้อกล่าวหาบางส่วนเกี่ยวกับการเป็นศูนย์กลางการฉ้อโกง โดยอ้างว่ารัฐบาลมีความมุ่งมั่นในการต่อสู้กับการค้ามนุษย์และกิจกรรมที่ผิดกฎหมาย
มีความจำเป็นต้องมีความมุ่งมั่นทางการเมืองอย่างแท้จริง และความร่วมมือระหว่างประเทศที่ครอบคลุม เพื่อแก้ไขปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติที่ซับซ้อนนี้
แหล่งข้อมูลสำคัญที่สุด 5 รายการที่ผู้เขียนใช้อ้างอิงถึงและให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับสถานการณ์การหลอกลวงทางไซเบอร์และการค้ามนุษย์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่:
International Organization for Migration (IOM): รายงานสถานการณ์ระดับภูมิภาคของ IOM เรื่อง "trafficking in persons into forced criminality in online scamming centres in Southeast Asia" ซึ่งตีพิมพ์ในเดือนกุมภาพันธ์ 2024 แหล่งข้อมูลนี้ให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับการค้ามนุษย์เพื่อวัตถุประสงค์ในการก่ออาชญากรรมโดยบังคับในศูนย์หลอกลวงออนไลน์
United Nations Office on Drugs and Crime (UNODC): รายงาน "Transnational organized crime and the convergence of cyber-enabled fraud, underground banking and technological innovation in Southeast Asia: A shifting threat landscape" ในเดือนตุลาคม 2024 และนโยบายสรุป "Casinos, cyber fraud and trafficking in persons for forced criminality in Southeast Asia" ในเดือนสิงหาคม 2023 เอกสารเหล่านี้ให้การวิเคราะห์โดยละเอียดเกี่ยวกับอาชญากรรมข้ามชาติ, อาชญากรรมไซเบอร์, และการดำเนินการหลอกลวงออนไลน์ โดยเน้นย้ำถึงวิวัฒนาการและการบรรจบกันของอาชญากรรมเหล่านี้
US Institute of Peace (USIP): รายงาน "Transnational crime in Southeast Asia: A growing threat to global peace and security" ในเดือนพฤษภาคม 2024 รายงานนี้เน้นย้ำถึงภัยคุกคามที่เพิ่มขึ้นของอาชญากรรมข้ามชาติในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งรวมถึงการหลอกลวงทางไซเบอร์ ที่ส่งผลกระทบต่อสันติภาพและความมั่นคงของโลก
Chainalysis: รายงาน "The 2025 Crypto Crime Report" ในเดือนกุมภาพันธ์ 2025 รายงานนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการทำความเข้าใจผลกระทบทางการเงินและแนวโน้มของการหลอกลวงที่เกี่ยวข้องกับสกุลเงินดิจิทัล ซึ่งเป็นองค์ประกอบหลักของอุตสาหกรรมการหลอกลวงทางไซเบอร์
Office of the United Nations High Commissioner for Human Rights (OHCHR): รายงาน "Online scam operations and trafficking into forced criminality in Southeast Asia: recommendations for a human rights response" ในเดือนสิงหาคม 2023 แหล่งข้อมูลนี้ให้ข้อเสนอแนะในการตอบสนองต่อปัญหาด้านสิทธิมนุษยชนที่เกี่ยวข้องกับการหลอกลวงออนไลน์และการค้ามนุษย์

Comments
Post a Comment